วิธีคิดที่ทำให้หลุดพ้นจากชีวิตแบบเก่า

ผมอยากถามคุณเกี่ยวกับคำว่า " คิด "

คิดจะมีอยู่ 3 แบบ คือ “คิดถูก คิดบวก คิดใหญ่” ทั้ง 3 แบบดีหมด 

แล้วคุณคิดว่าอันไหนต้องมาก่อน ?



“คิดถูก” เป็นสิ่งที่ต้องมาก่อน

เพราะ "คิดถูก" คือ ทิศทาง

"คิดบวก กับ คิดใหญ่" มันคือ ความเร็วและความแรง



คำถามคือ . . .


ถ้าวันนี้ถ้าคุณขับรถเร็วมากเละเครื่องยนต์ก็แรงด้วย

แต่ขับไปผิดทิศ คุณก็ไปไม่ถึงปลายทางที่ต้องการ


จะถึงปลายทางที่ต้องการ ทิศต้องถูกต้อง

หลังจากนั้นคุณจะขับเร็วด้วยเครื่องยนต์ที่แรง

แบบเหยียบให้มิดก็ทำไปเลย



เคยขึ้นทางด่วนผิดไหม ?


กว่าจะย้อนกลับมาได้นี่ลำบากมาก เวลาไปผิดทิศมันเสียเวลา

แถมเปลืองน้ำมัน และยังทำให้อารมณ์เสียด้วย



ชีวิตคุณก็เหมือนกัน

คิดถูก ต้องมาก่อนแล้วค่อย คิดบวก และค่อย คิดใหญ่



คำถามต่อมา . . .


คุณจะรู้ได้ยังไงว่าทุกวันนี้ที่คุณวิ่งอยู่มันถูกลู่แล้ว

ความจริงคุณไม่รู้หรอก

วิธีเดียวที่จะรู้ ต้องดูว่ามันไปถึงเป้าหมายได้จริงไหม

เช่น อยู่กรุงเทพฯจะไปเชียงใหม่

เหยียบคันเร่งมิดเลยแต่ไปโผล่อุดรฯ

หรือ อยู่อุดรฯจะไปกรุงเทพฯ เหยียบคันเร่งมิดเลย

แต่ไปโผล่ระยอง มันก็คงไม่ใช่แล้ว

คุณจะรู้ว่าอยู่ถูกลู่ต้องดูที่เป้าหมายหรือปลายทางก่อนเท่านั้น



คุณต้องเคยใช้ Google map 

เวลาใช้งานจะเลือกปลายทางก่อน แล้วค่อยเลือกจุดที่คุณอยู่

หลังจากนั้นก็ขับไปตามที่ Google map บอก จนไปถึงปลายทาง

ตัวเลือกเป้าหมายชีวิตคนเรามันมีให้เลือกไม่มากนักหรอก

เพราะมันมีให้เลือกแค่ 2 ตัวเลือก

ไม่ใช่แค่เฉพาะคนไทย 70 ล้านคน

แต่รวมถึงคน 8,000 ล้านคนทั่วโลกด้วย



ตัวเลือกที่ 1.

เลือกเป็นคนกลุ่มหนึ่งและเป็นส่วนใหญ่ด้วยที่ได้เงินด้วยวิธีเอาเวลาและสุขภาพไปแลกมา

ไม่ว่าจะเป็นหลักหมื่น หลักแสน หรือ หลักล้าน

 

ตัวเลือกที่ 2.

เลือกเป็นคนอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นส่วนน้อย และน้อยกว่ามากด้วย

ทุกวันจะได้เงิน เวลา และ สุขภาพ มาพร้อมกัน



ทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น รู้ไหม ?



ที่เป็นอย่างนั้นเพราะว่า "รูปแบบรายได้" เป็นตัวกำหนด "รูปแบบชีวิต"

(อยากให้ขีดเส้นใต้คำนี้ไว้เลย)

ย้ำอีกที "รูปแบบรายได้" จะเป็นตัวกำหนด"รูปแบบชีวิต"



ถ้าคุณมีรายได้แบบ Active Income คุณจะได้ทีละอย่าง

ถ้าอยากได้เงินก็จะไม่ได้เวลาและไม่ได้สุขภาพ

เช่น คุณได้เงินเดือนละล้านบาท เวลาคุณไม่มีแน่และเครียด

ต้องใช้แรงกายและแรงใจเยอะ

เพราะการได้เงินมามันเกิดจากสมการ แรงกายหรือสุขภาพ + เวลา = เงิน

หรือถ้าคุณอยากได้เวลา เช่น ไปเที่ยวยาว 2 เดือน


แล้วเงินเป็นไงครับ . . .


แน่นอนเงินก็หายไป เพราะตัวคุณไม่อยู่

ไม่ใช่คุณไม่เก่ง แต่นั่นมันเป็นเพราะสมการของ Active Income

คือ เวลา = เงิน - แรงกายหรือสุขภาพ



แต่ถ้าคุณมีรายได้แบบ Passive Income ที่มากพอ (เน้นที่คำว่ามากพอ)

ที่เกิดจากมีสินทรัพย์ทำทำหน้าที่สร้างเงินให้คุณ

แม้ตัวคุณไม่อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องเอาเวลาไปแลก ไม่ต้องเอากายเอาสุขภาพไปแลก

แต่คุณยังได้เงิน เวลา และ สุขภาพมาพร้อมกัน

เพราะสมการ คือ  แรงกายหรือสุขภาพ+เวลา = สร้างสินทรัพย์ = เงิน

แต่สุดท้ายทั้ง 2 กลุ่ม ยังไงก็ต้องตาย และต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี



คำถามคือ . . .

 

ถ้าคุณเลือกได้ในช่วงที่มีชีวิตอยู่ อยากได้ใช้ชีวิตแบบกลุ่มแรก หรือ กลุ่มสอง ?

ถ้าคุณอยากได้แบบคนกลุ่มสองหรือ Passive Income

คุณจะอยู่ฝั่งซ้ายของเงินสี่ด้านไม่ได้เหมือนที่ หนังสือเงินสี่ด้าน เขียนเอาไว้


หมายถึงจะอาศัยอาชีพพนักงานบริษัทฯ E (Employee)

และอาชีพเจ้าของกิจการส่วนตัว S (Self-Employed)

เพื่อทำให้คุณได้แบบกลุ่มที่สองเป็นไปไม่ได้


แต่ไม่ใช่ว่าอ่านแล้วอินมากว่าชีวิตจะทำฝั่งซ้ายไม่ได้

แล้วคิดจะไปต้องไปลาออกจากงานจากงานประจำ

หรือเลิกกิจการที่ทำอยู่ อันนี้ไม่ใช่นะ ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น

เพราะไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีช่องทางรายได้ที่แน่นอนและสวัสดิการพร้อม

ในช่วงที่คุณกำลังซุ่มสร้างสินทรัพย์เพื่อเอาไว้ทำเงินไว้ใช้ในอนาคตคุณ


คุณจำเป็นต้องทำคู่กันไปในช่วงเริ่มต้น

เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าคุณต้องทำ Passive Income เท่านั้น

คุณถึงจะได้ทั้งเงิน เวลาและสุขภาพในเวลาเดียวกัน

ไม่อย่างนั้นแล้วคุณจะติดอยู่ฝั่งซ้ายตลอด

คือจะได้เงินมา ต้องเอาเวลากับสุขภาพไปแลกมา เป็นอย่างนั้นตลอดไป

และมันจะมีผลทำให้ชีวิตบั้นปลายคุณ ตกที่นั่งลำบาก



มาดูฝั่งขวาว่ามีอะไรบ้าง ?



วันนี้ถ้าคุณอยากได้ Passive Income 6-7 หลักต่อเดือน

(อยากได้ในเวลาสั้นๆ 3-5 ปี)

ฝั่งขวาเงินสี่ด้านมี B (Business Owner) กับ I (Investor)


คนส่วนใหญ่มักจะคิดถึง I (Investor)

 หลักๆ จะมี 2 อย่าง คือ ลงทุนในหุ้น กับ อสังหาริมทรัพย์

ลงทุนในหุ้น ถ้าต้องการ Passive Income

ต้องเป็นรูปแบบของดอกเบี้ยหรือเงินปันผลเท่านั้น

รูปแบบอื่นไม่ถือว่าเป็น Passive Income เช่น การเทรดหุ้นหรือเก็งกำไร


และถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ ถ้าต้องการ Passive Income

ต้องเป็นลักษณะให้เช่าเท่านั้น

ไม่ใช่ซื้อมาขายไปเพื่อเอากำไรไม่ถือว่าเป็น Passive Income



ตัวอย่างลงทุนในหุ้น



หุ้นกู้ข้อดีปกป้องเงินต้นแต่ผลตอบแทนไม่สูง เช่น 4% ต่อปี

ถ้าต้องการเงิน Passive Income = 100,000 บาทต่อเดือน

เอา 100,000 x 12 เดือน x 4% = 30 ล้านบาท


หมายความว่าคุณต้องมีเงินในหุ้น 30 ล้านบาท

เพื่อให้ผลตอบแทน 100,000 บาทต่อเดือน



หากต้องการ Passive Income 1 ล้านบาทต่อเดือน

หมายความว่าคุณต้องมีเงินในหุ้นคุณ 300 ล้านบาท



ตัวอย่างลงทุนในอสังหาริมทรัพย์



ถ้าต้องการค่าเช่า 10,000 บาทต่อเดือน

ต้องมีอสังหาริมทรัพย์ 3 ล้านบาท


เช่น คอนโดฯ ให้เช่าจำนวน 1 ห้อง

ถ้าต้องการ 100,000 บาท/เดือน

คุณต้องมีคอนโดฯ 10 ห้อง ใช้เงิน 30 ล้านบาท


ถ้าต้องการค่าเช่า 1,000,000 บาท/เดือน

ต้องมีคอนโด 100 ห้องใช้เงิน 300 ล้านบาท



ผมไม่ถามหรอกว่าคุณจะเลือกแบบไหน

แต่ถามว่าศักยภาพคุณมีพอ ที่จะไปทำอย่างนั้นได้ไหม ?



มันยากมาก . . .!


เพราะคุณต้องมีเงินจำนวนมากหลักหลายสิบล้าน

คุณจะไปหาเงินมาจากไหน ออมเงินยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย 


ภาวะแบบนี้ . . .


วิธีที่ดีและได้ผล คือ เป็นเจ้าของธุรกิจ B (Business Owner)

คนที่จะประสบความสำเร็จในการกลายเป็นคนกลุ่ม 2 ได้

ด้วยวิธีการเป็นเจ้าของธุรกิจ (B)

มักจะเริ่มจากทำสิ่งสำคัญสิ่งแรกและสิ่งเดียวก่อนเสมอ

คือ หาโจทย์ของชีวิตที่ตัวเองต้องรับผิดชอบแล้วตีค่ามันออกมาเป็นตัวเลขที่เป็นตัวเงิน

แล้วค่อยมองหาประเภทของธุรกิจที่จะทำภายหลัง


ถ้าคุณอยากไปถึงปลายทางชีวิตแบบคนกลุ่ม 2  ได้

ด้วยการเป็นเจ้าของธุรกิจ B (Business Owner)

คุณจึงจำเป็นต้อง "หาตัวเลขทางการเงินชีวิตคุณต้องมี "

ที่คุณต้องรับผิดชอบในตัวเลขนั้นห้ได้ 100% 

หากอยากมีชีวิตที่ไม่ลำบากเร็วขึ้น และชีวิตสบายไร้กังวลไปจนสิ้นลมหายใจ

>